ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกรวมถึงเราทุกคนเลยค่ะ โดยเฉพาะ “อาหารเช้า” ที่เป็นมื้อสำคัญมาก ๆ เพราะอาหารเช้านี่แหละที่เป็นมื้อแรกที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราหลังจากการนอนหลับมาทั้งคืน ดังนั้นการใส่ใจและทานอาหารเช้าที่ดีและมีประโยชน์ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ คงไม่มีใครอยากให้ท้องน้อย ๆ ของเราต้องทำงานหนักตั้งแต่ลืมตาตื่นแน่นอน และหลังจากที่เราได้แนะนำเมนูอร่อย ๆ ที่สามารถนำมาทานเป็นอาหารเช้าไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเมนูจากข้าวโอ๊ต, แซนด์วิช, ไข่ต้ม, ซุปฟักทอง, ซุปข้าวโพด, ไข่ขาว, เมนูสำหรับชาวคีโต, เมนูผักต่าง ๆ ไปจนถึงสูตรน้ำสลัดตัวทอปต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เพื่อน ๆ ทานอาหารเช้าได้ง่ายมากขึ้น พอมาคิดดูแล้วเราก็แนะนำเมนูอร่อยให้เพื่อน ๆ ไปเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย แต่เยอะแค่ไหนก็ไม่พอค่ะเพราะเรายังมีเมนูเด็ดมาแชร์ให้เพื่อน ๆ อีกมากมายเลยค่ะ
วันนี้เราก็หยิบยกเอาเมนูอาหารเช้ามาแบ่งปันกันเพราะเมื่อพูดถึงอาหารเช้าแล้วหลายคนคงจะนึกถึงเมนูง่าย ๆ อย่างแซนด์วิช, ไข่ต้ม หรือซีเรียลต่าง ๆ ที่ทำง่ายทานง่าย แต่อาจจะไม่อิ่มและให้คุณประโยชน์ไม่มากสักเท่าไหร่ เราเข้าใจนะคะว่าบางครั้งเพื่อน ๆ อาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะมาหยิบกระทะทำอาหารให้วุ่นวาย หรือตอนเย็นก็เหนื่อยเกินกว่าจะมาล้างภาชนะที่ทานไปตอนเช้า ดังนั้นการทานซีเรียลหรือแซนด์วิชเลยกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่ไหน ๆ มีเวลาว่างทั้งทีเราเนรมิตห้องครัวที่เคยใช้แค่วางของและทานเบอร์เกอร์เป็นโฮมคาเฟ่เก๋ ๆ ดีกว่า มาทำอาหารเช้าสุดพรีเมียมและตกแต่งจานให้สวยกรุบไปกับเมนูอาหารเช้าของเรากันเลยค่ะ
สูตรเมนูอาหารเช้า
1. ข้าวต้มปลากะพง

เริ่มต้นกันที่เมนูข้าวต้มร้อน ๆ ต้อนรับรุ่งอรุณ เพื่อความสะดวกสบายเราจะเตรียมในส่วนของเนื้อปลา, เครื่องเคียง และน้ำซุปเอาไว้ในตอนเย็น เช้ามาก็แค่นำส่วนผสมทั้งออกมาอุ่นให้ร้อน ลวกเนื้อปลากันสด ๆ ต้มข้าวใหม่ ๆ แล้วนำมารวมร่างกัน ทำน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวเพิ่มความอร่อยอีกนิด ข้าวต้มปลากะพงถ้วยโตก็พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า บอกเลยว่าด้วยนี้หอมไปสามบ้านแปดบ้าน เนื้อปลาจะนุ่ม เด้งดึ๋ง และมีรสชาติหวาน ๆ ตามธรรมชาติ เมื่อนำมารวมกับน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมและข้าวต้มนุ่ม ๆ แล้วเข้ากันสุด ๆ ยิ่งตอนตักน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวราดแล้วเอาเข้าปากนะ หืมมม ความเผ็ดเปรี้ยว ความหวาน ความนุ่มของข้าว และกลิ่นหอมน้ำซุปมันอบอวลอยู่ในปาก สุขใจสุด ๆ
วัตถุดิบข้าวต้มปลากะพง
- เนื้อปลากะพง
- ข้าวสาร
- คึ่นฉ่าย
- ต้นหอม
- เห็ดหอมสด
- กระเทียม
- ข่าแก่
- พริกไทยเม็ด
- เต้าเจี้ยว
- พริกขี้หนู
- พริกไทยป่น
- เกลือ
- น้ำตาล
- น้ำมะนาว
- น้ำปลา
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำเปล่า
- น้ำมันพืช
วิธีทำข้าวต้มปลากะพง
ขั้นตอนแรกเราจะมาเตรียมเครื่องเครากันก่อน เริ่มจากแบ่งกระเทียมและขิงส่วนหนึ่งออกมาสับพอหยาบ ไม่สับกระเทียมและขิงรวมกันนะคะ จากนั้นหั่นเห็ดหอม ตามด้วยซอยต้นหอมและคึ่นฉ่าย ส่วนพริกนำมาสับหยาบ ๆ ค่ะ ตักส่วนผสมทั้งหมดแยกไว้ หันมาเทเต้าเจี้ยวใส่ภาชนะ ใช้ช้อนบี้เมล็ดถั่วเหลืองให้เละ จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำมะนาว แบ่งใส่กระเทียม, ข่า และพริกสับลงไปเพิ่มรสชาติ คนให้เข้ากันแล้วชิมรสชาติตามชอบ
ตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง จากนั้นใส่น้ำมันนิดหน่อยแล้วรอจนน้ำมันร้อนนำกระเทียมและข่าลงไปคั่วจนสุกหอมได้ที่ ตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมันพักไว้ หันมาทุบกระเทียมและข่าส่วนที่เหลือค่ะ ส่วนรากคึ่นฉ่ายล้างให้สะอาดและทุบเบา ๆ ตั้งหม้อ ใส่น้ำ เปิดไฟกลางแล้วใส่รากคึ่นฉ่าย, กระเทียม, พริกไทยเม็ด และข่าลงไป ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย รอจนน้ำเดือดได้ที่แล้วนำเนื้อปลาลงลวกจนสุก ห้ามคนนะคะ รอจนปลาสุกแล้วตักขึ้น ปรับเตาเป็นไฟอ่อน ๆ เพิ่มรสชาติน้ำซุปด้วยซีอิ๊วขาว ชิมรสชาติตามชอบ น้ำเห็ดหอมลงไปต้ม
หันมาล้างข้าวสาร 2 – 3 รอบจนน้ำซาวข้าวใสสะอาด จากนั้นหยิบหม้ออีกใบขึ้นตั้งบนเตา ใส่ข้าวสารลงไป เติมน้ำจนท่วม เปิดเตาไฟกลางแล้วต้มจนเมล็ดข้าวสุกบาน ตอนต้มข้าวเราจะคนตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวไหม้ติดก้นหม้อ เมล็ดข้าวบานสวยจนพอใจแล้วปิดเตา ตักเอาเฉพาะข้าวใส่ถ้วย จากนั้นวางเนื้อปลาลงไปด้านบน ตักน้ำซุปและเห็ดหอมราดตามลงไป ตกแต่งด้วยกระเทียมและข่าคั่ว ใส่คึ่นฉ่ายและต้นหอมตามลงไป โรยพริกไทยป่นปิดท้าย เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว
2. โจ๊กหมูสับ

ต่อมาเป็นโจ๊กหมูสับ อาหารเช้ายอดฮิตที่อาจจะหาทานได้ง่าย ๆ หน้าปากซอย แต่แบบนั้นมันง่ายเกินไปค่ะ วันนี้เราจะมาเข้าครัวทำโจ๊กหมูสับทานเอง ขอบอกว่าเมนูนี้ทำเองตั้งแต่ต้มน้ำซุปไปจนถึงเคี่ยวโจ๊กเลยทีเดียว เพราะนอกจากข้าวนุ่ม ๆ หอม ๆ แล้วความโดดเด่นของโจ๊กจะอยู่ที่น้ำซุปรสชาติกลมกล่อมที่มีกลิ่นหอมฟุ้ง ได้รสหวานธรรมชาติจากผัก เข้ากันได้ดีกับหมูสับก้อนโตที่หอมกลิ่นพริกไทยและมีรสชาติเค็มนิด ๆ ทานพร้อมผักเพิ่มความหอมอย่างขิงและต้นหอมผักชีเข้ากันสุด ๆ ไปเลย
วัตถุดิบโจ๊กหมูสับ
- หมูสับ
- กระดูกหมู
- ข้าวสาร
- ต้นหอม
- ผักชี
- หอมใหญ่
- แครอท
- ขิงอ่อนซอย
- กระเทียมเจียว
- ตั้งฉ่าย
- พริกไทยป่น
- เกลือ
- ซีอิ๊วขาว
- ซอสปรุงรส
- น้ำเปล่า
วิธีทำโจ๊กหมูสับ
ก่อนอื่นเราจะนำกระดูกหมูมาขัดด้วยเกลือและล้างเอาเลือดและคราบต่าง ๆ ที่ติดอยู่บนกระดูกหมูออกก่อนค่ะ จากนั้นหันมาปอกเปลือกและล้างแครอทและหอมใหญ่ค่ะ หั่นทั้งสองอย่างเป็นสี่เหลี่ยมเต๋าใหญ่ ๆ จากนั้นตั้งหม้อ ใส่น้ำแล้วนำกระดูกหมูลงไปลวกเพื่อล้างเอาเลือดออกอีกหนึ่งรอบค่ะ จากนั้นตั้งหม้อใส่น้ำ นำกระดูกหมูและผักใส่ลงไปเลยค่ะ เสร็จแล้วเปิดเตาแล้วเร่งไฟแรงจนน้ำเดือดเลยค่ะ น้ำเดือดได้ที่แล้วตักเอาฟองที่ลอยขึ้นมาออกจนหมดเลยค่ะ จากนั้นปรับเตาเป็นไฟอ่อน ๆ แล้วปิดฝาแง้ม ๆ ไว้เพื่อเคี่ยวซุป ตั้งแต่ใส่หมูลงในหม้อจนถึงขั้นตอนการเคี่ยวซุปเราจะไม่คนหมูเลยนะคะ ปล่อยไว้แบบนั้นเลยค่ะ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยสามชั่วโมงจนกว่าน้ำซุปจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเลยจ้า
ได้น้ำซุปสีเหลืองทองแล้วต่อมาเราจะเริ่มทำโจ๊กกันต่อค่ะ เริ่มจากหมักหมูสับก่อนโดยการปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยค่ะ จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วหมักทิ้งไว้ หันมาซอยต้นหอมผักชีต่อค่ะ นำรากผักชีมาล้างแล้วขูดเอาดินออกจนขาวเลยค่ะ ทุบเบา ๆ ให้พอแตก เสร็จแล้วตั้งหม้อ ตักน้ำซุปใส่ลงไปค่ะ เปิดไฟกลาง ๆ ใส่รากผักชีลงไป รอจนน้ำเดือดได้ที่แล้วปั้นหมูเป็นก้อนลงไปต้มจนหมูสุกดีเลยค่ะ ทำจนครบหมดแล้วช้อนเอาฟองออกให้หมดแล้วตักหมูสับและรากผักชีขึ้นมาพักไว้ก่อนค่ะ เพราะเราจะใช้น้ำซุปที่เหลือทำโจ๊กต่อเลย ช้อนเอาทุกอย่างออกจนเหลือแค่น้ำซุปเพียว ๆ เลยนะคะ
นำข้าวสารมาล้างทำความสะอาดประมาณ 1 – 2 รอบเพื่อเอายางข้าวออกก่อนค่ะ จากนั้นหันมาตั้งน้ำซุปที่เราต้มหมูไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นตั้งบนเตา เปิดไฟกลางค่อนอ่อน ชิมน้ำซุปก่อนนิดนึง ถ้าซุปจืดมากจนเกินไปสามารถใส่ซอสปรุงรสเพิ่มได้จนซุปออกเค็มกลมกล่อม เพราะตอนใส่ข้าวรสชาติจะอ่อนลงอีกค่ะ รสชาติน้ำซุปได้ที่แล้วเราจะใส่ข้าวสารลงไปเลยค่ะ คอยคนไปเรื่อย ๆ จนเมล็ดข้าวแตกเละเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวไหม้ติดก้นหม้อค่ะ ต้มไปเรื่อย ๆ จนเมล็ดข้าวเละเป็นโจ๊กเลยค่ะ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน
เอาล่ะค่ะ เวลาที่ทุกท่านรอยคอยมาถึงแล้ว หลังจากโจ๊กในหม้อสุกนุ่มดีแล้วเราจะตักโจ๊กใส่ถ้วย ตามด้วยหมูสับ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว, ตั้งฉ่าย, ขิงซอย, กระเทียมเจียว, ต้นหอมผักชี และพริกไทยป่น ถ้าใครต้องการรสชาติเข้มข้นสามารถเหยาะซอสปรุงรสเพิ่มเข้าไปอีกนิดได้เลยค่ะ พร้อมรับประทาน
3. ต้มเลือดหมู

ใครเบื่อข้าวต้มแล้วลองเปลี่ยนมาซดน้ำซุปร้อน ๆ คล่องคอกันบ้างค่ะ ต้มเลือดหมูเป็นเมนูซุปที่เหมาะกับการทานตอนเช้ามาก ๆ เมนูนี้อัดแน่นไปด้วยเครื่องในหมูเน้น ๆ มีหมูสับก้อนโต ยอดตำลึงหวานอ่อน ๆ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพระเอกอย่างเลือดหมูค่ะ เราจะนำเครื่องทั้งหมดมาต้มจนสุกแล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวหอม ๆ ใบผักชีอีกนิด โรยหน้าด้วยพริกไทยป่นเพิ่มความหอมและรสชาติเผ็ดร้อน น้ำซุปรสชาติอ่อน ๆ อร่อยกลมกล่อมเหมาะกับเด็ก ๆ และผู้สูงอายุ ส่วนคนแซ่บอย่างเราจะต้องปรุงพริกป่นและน้ำส้มแซ่บ ๆ ทานพร้อมกับข้าวสวยหอม ๆ ค่ะ
วัตถุดิบต้มเลือดหมู
- กระดูกหมู
- หัวไชเท้า
- เลือดหมู
- เครื่องในหมู
- หมูสับ
- ยอดตำลึง
- กระเทียมเจียว
- ผักชี
- พริกไทยป่น
- เกลือ
- น้ำส้มสายชู
- ซอสปรุงรส
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำเปล่า
วิธีทำต้มเลือดหมู
ก่อนอื่นล้างทำความสะอาดกระดูกหมูด้วยเกลือ ปอกเปลือกและหั่นหัวไชเท้า หั่นและล้างทำความสะอาดรากผักชี ทุบให้พอแตก จากนั้นนำกระดูกหมู, หัวไชเท้า และรากผักชีลงหม้อ ใส่น้ำท่วม ๆ แล้วนำไปต้มซุปได้เลยค่ะ ต้มจนกระดูกหมูสุกเปื่อยเลยค่ะ อย่าลืมช้อนฟองออกบ่อย ๆ ด้วยนะคะ ระหว่างรอนำเครื่องในหมูมาล้างด้วยเกลือและน้ำส้มสายชู หันมาหมักหมูด้วยซีอิ๊วขาวและพริกไทย ส่วนใบตำลึงล้างน้ำและเด็ดรอไว้เลยค่ะ
ต่อมาตั้งหม้อ ใส่น้ำและเกลือเล็กน้อย หลังจากน้ำเดือดได้ที่แล้วเราจะนำเลือดและเครื่องในลงไปต้มค่ะ เราจะเอาเครื่องในที่มีกลิ่นคาวน้อย ๆ ลงไปก่อน จากนั้นไล่ระดับความคาวขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่ะ ต้มเสร็จแล้วนำเลือดและเครื่องในหมูมาหั่นเป็นชิ้น ๆ รอไว้เลยค่ะ เตรียมเครื่องเสร็จน้ำซุปก็พร้อมพอดี เราจะตักเอาเฉพาะน้ำซุปใส่หม้ออีกใบแล้วนำขึ้นบนเตา รอจนน้ำซุปเริ่มเดือดปั้นหมูใส่ลงไป ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสและซีอิ๊วขาว ชิมรสชาติตามชอบ หลังจากหมูสับสุกแล้วเราจะตามด้วยยอดตำลึง รอจนผักสลดแล้วปิดเตา ตักใส่ถ้วย ใส่เลือดและเครื่องในหมู โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว, ผักชี และพริกไทยป่น พร้อมเสิร์ฟจ้า
4. ไข่กระทะ

เปลี่ยนมาทำอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งกันบ้างค่ะ ไข่กระทะเป็นเมนูอาหารเช้าที่เป็นที่นิยมและทานง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เพียงแค่เลือกเครื่องที่ชอบ นำมาทำให้สุก จากนั้นทอดไข่ให้ด้านล่างกรอบ ๆ หน่อย ไข่แดงยังเยิ้ม ๆ โรยเกลือพริกไทยเพิ่มรสชาติอีกนิด บางคนอาจจะปิ้งขนมปังให้กรอบ ๆ แล้วนำไปจิ้มไข่แดงทานก็อร่อย หรือใครจะเหยาะซอสปรุงรสเพิ่มรสชาติอีกนิดก็อร่อยเหาะ ยิ่งใส่หมูยอและหมูสับเยอะ ๆ นี่ขอบอกว่าอร่อยจุก ๆ อิ่มไปจนถึงมื้อเที่ยงแน่นอนค่ะ
วัตถุดิบไข่กระทะ
- หมูสับ
- เบคอน / แฮม
- ไข่ไก่
- กุนเชียง
- หมูยอ
- ผักสามสี
- เกลือ
- พริกไทย
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำมันพืช
- น้ำเปล่า
วิธีทำไข่กระทะ
ก่อนอื่นเราจะมาเตรียมเครื่องให้พร้อมก่อนค่ะ อย่างแรกเราจะรวนหมูยอและหมูสับก่อน หั่นหมูยอเป็นชิ้นแล้วหันไปตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง ใส่น้ำลงไปพอประมาณ รอจนน้ำเดือดแล้วนำหมูยอลงลวกจนสุกดี จากนั้นนำหมูสับลงรวนต่อ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็กน้อย รวนต่อจนหมูสุกแล้วตักขึ้นมาพักไว้ จากนั้นเราจะทอดกุนเชียงต่อเลยค่ะ ใช้กระทะใบเดิม ปรับไฟกลางค่อนอ่อน หั่นกุนเชียงเป็นชิ้นใส่ลงไป ตามด้วยน้ำเปล่าพอท่วม จากนั้นปล่อยไว้จนน้ำระเหยจนหมด ระหว่างน้ำระเหยกุนเชียงจะสุกขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเปล่าระเหยหมดแล้วน้ำมันจากกุนเชียงจะออกมา เราจะทอดจนกุนเชียงสีสวยตามชอบเลยค่ะ จากนั้นตักกุนเชียงขึ้นแล้วนำเบคอน/แฮมลงทอดต่อจนสุกกรอบตามชอบเลย
คราวนี้เราจะเริ่มทำไข่กระทะกันแล้วค่ะ วางกระทะที่จะใช้ทำไข่กระทะลงบนเตา เปิดไฟกลาง จากนั้นเทน้ำมันลงไปเล็กน้อยแล้วนำผักสามสีลงไปผัดจนสุก ปรับเตาเป็นไปกลางค่อนอ่อนแล้วตอกไข่ใส่ลงไปเลย นำฝามาปิดเตาเพื่อให้ความร้อนระอุช่วยให้ไข่ด้านบนสุกมากขึ้น สังเกตแค่พอไข่ขาวเริ่มขาวขึ้นก็เปิดฝาได้เลยค่ะ ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทยเล็กน้อยแล้วนำเครื่องที่เตรียมไว้จัดเรียงลงไปให้สวยงาม คราวนี้ก็เลือกระดับความสุกได้ตามต้องการเลยค่ะ ได้ที่แล้วปิดเตาแล้วเสิร์ฟร้อน ๆ ได้เลย
5. แพนเค้ก

มาต่อกันที่อาหารเช้าง่ายแสนง่ายแต่อร่อยอิ่มท้องอย่างแพนเค้กค่ะ เมนูบอกเลยว่าสามารถทานได้ทั้งวัน ทั้งเป็นของคาวและของหวาน แถมเรายังได้ใส่ไอเดียวาดแป้งแพนเค้กเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้อีกมากมาย และที่สำคัญคือเมนูนี้ใช้วัตถุดิบและวิธีการทำไม่ยากเลยค่ะ หลัก ๆ ก็จะมีแค่ไข่, นมสด และแป้งเท่านั้นเอง หรือใครที่เฮลตี้หน่อยจะเปลี่ยนแป้งเป็นกล้วยสุกหรือข้าวโอ๊ตก็อร่อยเหมือนกันค่ะ แป้งที่ใช้ไม่หมดสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้อีกหลายวันเลย ส่วนรสชาติของแพนเค้กก็จะนุ่ม ๆ หอมเนย กัดลงไปได้กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งอบอวลอยู่ในปาก ฟินสุด ๆ
วัตถุดิบแพนเค้ก
- ไข่ไก่
- แป้งสาลีเอนกประสงค์
- ผงฟู
- เนยสดรสเค็ม
- น้ำตาลทราย
- นมสด
- น้ำผึ้ง
วิธีทำแพนเค้ก
วิธีการทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ ขั้นตอนแรกเราจะตอกไข่ใส่ภาชนะ ตามด้วยนมสดและน้ำตาลทราย จากนั้นตีผสมให้ไข่และนมสดเข้ากันดีเลยค่ะ เสร็จแล้วใส่แป้งสาลีตามลงไป คนผสมให้เข้ากันจนได้แป้งแพนเค้กเนื้อเนียน เอาล่ะค่ะ เตรียมแป้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยกกระทะออกมาวางบนเตา เปิดไฟอ่อน ๆ แล้วตักเนยใส่ลงไป รอจนเนยละลายดีแล้วเอียงกระทะไปมาให้เนยเคลือบหน้ากระทะจนทั่ว จากนั้นตักแป้งแพนเค้กแล้วหยอดลงไปให้เป็นแผ่นกลม ๆ น่ารัก ขั้นตอนนี้ใครมีอยากโชว์ฝีมือหยอดแป้งแพนเค้กเป็นรูปร่างต่าง ๆ ก็จัดไปเลยจ้า เสร็จเรียบร้อยแล้วก็รอจนแป้งสุกแห้งขึ้น จากนั้นก็พลิกกลับด้านแล้วทอดต่อจนสุกค่ะ สุกดีแล้วตักใส่จานแล้วราดน้ำผึ้งเล็กน้อย พร้อมรับประทานค่ะ หรือถ้าใครไม่สะดวกผสมแป้งจะเลือกซื้อแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาใช้ก็สะดวกดีเหมือนกันค่ะ
6. ไข่ตุ๋นกุ้งสด

เมนูต้องถูกใจเด็ก ๆ แน่นอนค่ะ ตอนเช้า ๆ อากาศหนาว ๆ การได้ทานไข่ตุ๋นร้อน ๆ สักถ้วยคงเป็นอะไรที่ฟินไม่น้อย ไข่ตุ๋นของเราจะมีเนื้อเนียนเด้งดึ๋งราวกับพุดดิ้ง รสชาติอร่อยกลมกล่อม โปะด้วยกุ้งสดตัวโตะ ๆ เนื้อเด้ง ๆ กัดลงไปจะได้รสชาติหวานของเนื้อกุ้ง ยิ่งเคี้ยวความหวานก็จะยิ่งแผ่ซ่านออกมาเต็มปากคละเคล้าไปกับความเนียนและกลิ่นหอมของไข่ที่ปรุงมาเป็นอย่างดี ได้ทานไข่ตุ๋นถ้วยโตตอนเช้านี่มันช่างสุขใจอิ่มท้องจนบรรยายไม่ถูก
วัตถุดิบไข่ตุ๋น
- ไข่ไก่
- กุ้ง
- แครอท
- ต้นหอม
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำเปล่า
วิธีทำไข่ตุ๋น
หยิบกุ้งมาปอกเปลือก ผ่าหลังแล้วเอาเส้นดำออกให้เรียร้อยค่ะ จากนั้นขยำเกลือ ล้างอีกหนึ่งรอบแล้วแช่เย็นไว้ก่อนค่ะ เสร็จแล้วหันมาซอยต้นหอมและหั่นแครอทเป็นเต๋าเล็ก ๆ ส่วนไข่ไก่นำมาตีให้เข้ากันก่อน เติมน้ำเปล่าลงไปน้อยกว่าปริมาณของไข่นิดนึง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวแล้วตีต่ออีกหน่อยให้เข้ากัน กรองไข่ใส่ภาชนะที่จะนึ่งเพื่อให้ได้เนื้อเนียนค่ะ เตรียมหม้อนึ่งให้ร้อน จากนั้นปรับเป็นไฟอ่อน ๆ แล้ววางถ้วยที่ใส่ไข่ลงไปค่ะ ปิดฝาแง้ม ๆ ไว้แล้วตุ๋นจนเนื้อไข่เริ่มแข็งขึ้น เปิดฝาแล้ววางกุ้งและแครอทลงไปค่ะ ปิดฝานึ่งต่อจนกุ้งสุกดีแล้วนำออกมาโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยแล้วรับประทานได้เลย
7. อเมริกันเบรคฟาสต์

ในเมื่อออกไปเที่ยวจริงไม่ได้เราก็ไปเที่ยวทิพย์ด้วยการทำอาหารเช้าสไตล์อเมริกันเสิร์ฟสักหน่อย สำหรับเซตนี้เราก็จัดเต็มแบบจุก ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาวเด้ง ๆ เบคอนกรุบกรอบ ชีสโทสต์หอมกรุ่น พร้อมน้ำส้มแช่เย็นเพิ่มความสดชื่น บอกเลยว่ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งบ้านแน่นอนค่ะ ขนมปังของเราจะกรอบและหอมเนยสุด ๆ ได้ความนัวของชีสแน่น ๆ หยิบมาจิ้มไข่แดงมัน ๆ อีกหน่อยก็สุดจะฟิน พักยกด้วยการจิบน้ำส้มสวย ๆ หั่นไส้กรอกและเบคอนกรุบ ๆ เข้าปากอีกนิดดูผู้ดีสุด ๆ
วัตถุดิบอเมริกันเบรคฟาสต์
- ไข่ไก่
- เบคอน
- ไส้กรอก
- ขนมปัง
- ชีส
- เนยเค็ม
- น้ำส้ม
วิธีทำอเมริกันเบรคฟาสต์
วิธีการทำก็ง่ายเช่นเคยค่ะ เราจะเริ่มจากนำกระทะออกมาตั้งบนเตาค่ะ เปิดไฟอ่อน ๆ แล้วใส่เนยลงไปเลยค่ะ แนะนำให้เลือกใช้กระทะใบเล็ก ๆ นะคะไข่จะได้ออกมากลมสวย เนยละลายดีแล้วตอกไข่ใส่ลงไปเลยค่ะ ใช้ไฟอ่อนทอดไปเรื่อย ๆ จนไข่สุกตามความชอบเลยค่ะ เคล็ดลับคือต้องใช้ไฟอ่อนตลอดเวลา ไข่จะได้ไม่ฟูและเป็นทรงสวยค่ะ หรือจะใช้พิมพ์ทอดไข่ดาวสำเร็จรูปก็ได้เช่นกันค่ะ
ทอดไข่เสร็จแล้วตักขึ้นแล้วปรับเป็นไฟกลาง ใส่เนยลงไปอีกนิดแล้วนำขนมปังลงไปจี่ในกระทะจนร้อนและเหลืองกรอบ กลับด้านแล้ววางชีสลงไปแล้วปิดฝาเพื่อรอให้ความร้อนอบชีสให้ละลาย จี่จนขนมปังอีกด้านสุกเหลืองและชีสละลายดีแล้วตักออกมาพักไว้ จากนั้นนำเบคอนลงทอดต่อเลยค่ะ ไม่ต้องใส่เนยเพิ่มลงไปก็ได้นะคะเพราะเดี๋ยวน้ำมันเบคอนจะออกมาอีกค่ะ ทอดจนเบคอนสุกกรอบตามชอบแล้วตักขึ้นมาพักไว้ ใช้น้ำมันเบคอนทอดไส้กรอกต่อจนสุก จากนั้นนำวัตถุดิบที่เตรียมเสร็จแล้วจัดใส่จานให้สวยงาม เทน้ำส้มใส่แก้ว พร้อมเสิร์ฟจ้า
8. เอ้กเบเนดิก

สำหรับเมนูนี้ถ้าไปทานที่คาเฟ่นี่รับรองว่าราคาไม่ต่ำกว่า 200 บาทต่อหนึ่งจาน แต่ในเมื่อไปคาเฟ่ไม่ได้เราก็ยกคาเฟ่มาไว้ที่บ้านกันเสียเลย วันนี้ตื่นเช้า ๆ มาทำเอ้กเบเนดิกทานกันเองดีกว่า บอกเลยว่าวัตถุดิบและวิธีทำง่ายมาก เดินไปเดินมาในครัวแปปเดียวอาหารเช้าแสนอร่อยก็พร้อมรับประทานแล้ว เมนูนี้จะมีขนมปังกรอบนอกนุ่มใน มาพร้อมกับแฮมของปรดและโพชเอ้กสุดพรีเมี่ยม หั่นลงไปนี่ไข่แดงจะไหลเยิ้มหอมกรุ่น รสชาติมัน ๆ ของไข่เข้ากันได้ดีกับซอสฮอลแลนเดสรสเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ยิ่งได้กาแฟร้อน ๆ สักแก้วรับรองว่าฟินจนต้องลุกมาทำทานทุกวันแน่นอน
วัตถุดิบเอ้กเบเนดิก
- ไข่ไก่
- หน่อไม้ฝรั่ง
- ผักสลัด
- แฮม / เบคอน
- เลมอน
- เนยจืด
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- ขนมปัง
- น้ำส้มสายชู
วิธีทำเอ้กเบเนดิก
ก่อนอื่นเราจะต้องมีซอสฮอลแลนเดสกันก่อนค่ะ เริ่มจากแยกไข่แดงและไข่ขาวออกจากกัน จากนั้นนำเนยมาละลายให้พออุ่น ๆ ค่ะ เสร็จแล้วหั่นและบีบน้ำเลมอนลงในไข่แดงที่แยกไว้ ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทยเล็กน้อย หยิบตะกร้อมือออกมาแล้วตีไข่แดงให้เข้ากันจนดูหนาและขึ้นฟูเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ เทเนยลงไปทีละนิด คนให้เข้ากันแล้วชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยวนิด ๆ เค็มหน่อย ๆ เป็นอันใช้ได้ค่ะ
ต่อมาจะทำ poach egg กันต่อค่ะ ตอกไข่ใส่ภาชนะไว้ ระวังไม่ให้ไข่แดงแตกนะคะ จากนั้นตั้งหม้อใส่น้ำลงไปเยอะ ๆ เหยาะน้ำส้มสายชูลงไปพอประมาณเพื่อทำให้ไข่ขาวเซตตัวง่ายขึ้น เปิดไฟแรงจนน้ำเดือดปุด ๆ แล้วปรับไฟลงเป็นไฟอ่อน ตรงนี้น้ำจะต้องไม่เดือดนะคะ เอาแค่พอมีไอขึ้นมาก็พอแล้วค่ะ คราวนี้เราจะทำน้ำวนโดยการคนน้ำไปทางเดียวกันเร็ว ๆ จากนั้นรีบหย่อนไข่ลงไปเลยค่ะ ถ้าน้ำวนได้ที่แล้วไข่จะหมุนและไข่ขาวจะวนห่อไข่แดงจนเป็นลูกกลมสวย รอจนไข่ขาวเปลี่ยนเป็นสีขาวจนหมดแล้วค่อยตักขึ้นมาพักไว้ นำหน่อไม้ฝรั่งลงต้มต่อจนสุก

ต่อมาจะเป็นในส่วนของขนมปังและแฮมค่ะ หยิบกระทะออกมาตั้งบนเตา เปิดไฟกลางค่อนอ่อน ใส่เนยลงไปรอจนเนยละลายดีแล้วนำขนมปังลงไปย่างจนเหลืองสวยทั้งสองด้าน ตักขึ้นมาเอาแฮมลงไปย่างต่อ แฮมสุกดีแล้วใส่เนยลงไปเล็กน้อยแล้วนำหน่อไม้ฝรั่งลงที่ต้มไว้ก่อนหน้าลงไปผัดจนขึ้นเงาสวย ปรุงรสเล็กน้อยด้วยเกลือพริกไทย ตักขึ้นมาพักไว้ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เราจะนำขนมปังลงมาวางก่อนค่ะ ตามด้วยหน่อไม้ฝรั่ง แฮม และไข่ จากนั้นราดซอสฮอลแลนเดสลงไปเยิ้ม ๆ โปะด้วยขนมปังอีกหนึ่งแผ่น เสิร์ฟพร้อมผักสลัดแก้เลี่ยน พร้อมรับประทาน
9. แซนด์วิชไข่ชีส

เมนูนี้กำลังฮอตฮิตสุด ๆ ไปเลยค่ะ มันคือการนำขนมปังและไข่มาทำเป็นแซนด์วิช หน้าตาอาจจะดูเหมือนแซนด์วิชธรรมดา ๆ แต่มันมีความพิเศษซ่อนอยู่ นั่นก็คือสูตรนี้ตัวไข่และขนมปังหอมเนยมาก ๆ ไข่จะมีรสชาติเค็มนิด ๆ จากเกลือ หอมพริกไทยอ่อน ๆ ตรงกลางเป็นชีสเยิ้ม ๆ ขนมปังแผ่นหนากรอบนอกนุ่มใน ได้กลิ่นของเนยและไข่หอมกรุ่นจนแทบจะอดใจไม่ไหว ยิ่งได้ทานตอนร้อน ๆ กัดลงไปแล้วเจอชีสอุ่น ๆ มัน ๆ นี่แทบจะสลบเพราะมันฟินมาก
วัตถุดิบแซนด์วิชไข่ชีส
- ไข่ไก่
- เนย
- ชีส
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- ขนมปัง
วิธีทำแซนด์วิชไข่ชีส
ตอกไข่ใส่ภาชนะ ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทยเล็กน้อย จากนั้นตีให้เข้ากันเลยค่ะ เสร็จแล้วหยิบกระทะออกมาวางบนเตา เปิดไฟกลางค่อนอ่อนแล้วใส่เนยลงไปพอประมาณ รอจนเนยละลายดีแล้วเอียงกระทะให้โดนเนยจนทั่ว ใส่ไข่ลงแล้วเกลี่ยให้ทั่วกระทะเลยนะคะ จากนั้นวางขนมปัง 2 แผ่นลงไปให้ด้านหนึ่งของขนมปังโดนไข่ก่อนแล้วพลิกกลับเอาอีกหนึ่งด้านลง วิธีนี้จะเหมือนกับการนำขนมปังมาชุบไข่โดยที่ขนมปังจะไม่เละ หลังจากไข่สุกดีแล้วไข่กับขนมปังจะติดเป็นแผ่นเดียวกันค่ะ เราจะกลับด้านทั้งไข่และขนมปังเพื่อเอาขนมปังอีกด้านลงทอดต่อ พับไข่ด้านบนที่ยื่นออกมาให้สวยงาม วางชีสลงไปตามชอบ ปิดฝาให้ชีสละลายเยิ้ม จากนั้นพลิกเอาขนมปังหนึ่งแผ่นมาประกบก็จะได้แซนด์วิชไข่ชีสแล้วจ้า
10. เกี๊ยวน้ำ

ปิดท้ายกันด้วยเกี๊ยวน้ำร้อน ๆ คล่องคอ เมนูขอบอกว่าอร่อยถูกใจและทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยค่ะ วันนี้เราจะชวนเพื่อน ๆ เข้าครัวทำเกี๊ยวไส้หมูทานกันค่ะ ความพิเศษของเกี๊ยวของเราก็คือนอกจากหมูแล้วยังมีกะหล่ำปลีและแครอทสับหวาน ๆ ด้วย นอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย หลังจากต้มจนสุกแล้วแผ่นเกี๊ยวจะนุ่มสุด ๆ กัดเข้าไปไส้เกี๊ยวจะแตกออกเผยให้เราได้เห็นเนื้อหมูและผักแน่น ๆ พร้อมกลิ่นหอมกรุ่นน้ำมันงาโชยออกมาเบา ๆ ทานเกี๊ยวหนึ่งคำ ซดน้ำซุปตามอีกหนึ่งคำ พริบตาเดียวเกี๊ยวน้ำถ้วยโตก็หมดเกลี้ยงแล้วค่ะ
วัตถุดิบเกี๊ยวน้ำ
- หมูสับ
- แครอท
- กะหล่ำปลี
- ต้นหอม
- แป้งมัน
- ผักชี
- แผ่นเกี๊ยว
- กระเทียมเจียว
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำมันงา
- น้ำเปล่า
วิธีทำเกี๊ยวน้ำ
ขั้นตอนแรกเราจะมาเตรียมในส่วนของไส้เกี๊ยวกันก่อนจ้า หยิบเอาแครอทและกะหล่ำปลีมาล้างทำความสะอาด จากนั้นสับแครอทและกะหล่ำปลีให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เลยค่ะ ความหวานจะออกมาได้เยอะ ๆ จากนั้นนำผักที่สับไว้ลงไปผสมกันหมูสับ เติมแป้งมันลงไปนิดหน่อย ปรุงรสด้วยเกลือ, พริกไทย และซีอิ๊วขาว ใส่น้ำมันงาเพิ่มกลิ่นหอมอีกนิดแล้วจัดการคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเลยค่ะ นำเข้าตู้เย็นประมาณ 30 นาทีให้ความอร่อยเข้าเนื้อ
หมักหมูได้ที่แล้วนำออกมาห่อไส้เกี๊ยวกันต่อเลย คลุกเคล้าหมูอีกสักเล็กน้อย จากนั้นวางแผ่นเกี๊ยวลงบนจานค่ะ ตักหมูเป็นก้อนพอประมาณใส่ลงไปตรงกลางแต่ไม่ควรใส่เยอะเกินไปนะคะเดี๋ยวจะพับไม่ได้ วางหมูลงไปแล้วเอานิ้วจิ้มน้ำแล้วทาลงไปบนขอบแผ่นเกี๊ยวบาง ๆ แล้วพับมุมด้านหนึ่งมาประกบกันให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ถ้าใครต้องการความสวยงามเอาปลายด้านป้านมาแปะติดกัน เกี๊ยวก็จะกลายเป็นก้อนกลมดูน่ารับประทานมากขึ้นค่ะ
ตั้งหม้อ 2 ใบเพื่อใช้สำหรับต้มน้ำซุปและลวกเกี๊ยว จากนั้นใส่น้ำเปล่าลงไปทั้ง 2 ใบ เร่งไฟกลางค่อนแรงจนน้ำเดือดจัดแล้วปรับเป็นไฟกลางค่อนอ่อน ปรุงรสน้ำซุปในหม้อหนึ่งใบด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือเล็กน้อย ถ้าแครอทยังเหลือสามารถหั่นเป็นชิ้นใส่ลงไปด้วยก็ได้นะคะ สำหรับหม้อใบที่สองเราจะนำเกี๊ยวลงไปต้มจนสุกนิ่ม ตักขึ้นมาใส่ถ้วยพักไว้ น้ำซุปเดือดดีแล้วตักใส่ถ้วยเกี๊ยว โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวเล็กน้อยและต้นหอมผักชี เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ ส่วนเหตุผลที่ไม่ต้มเกี๊ยวในหม้อซุปเพราะแป้งเกี๊ยวจะทำให้น้ำขุ่นนั่นเอง
จบลงไปแล้วนะคะกับ 10 เมนูอาหารเช้าที่ทั้งอร่อยและอิ่มท้องที่เรานำมาฝากเพื่อน ๆ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เห็ยวิธีทำที่ง่ายแสนง่ายแล้วอยากจะลองตื่นเช้ามาทำอาหารทานเองกันแล้วใช่ไหมล่ะ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหรือชอบทานอาหารคลีนกันเป็นประจำอยู่แล้วเราก็มีบทความเมนูอาหารเช้าแบบคลีน ๆ แคลต่ำ อีกด้วยนะคะ บอกเลยว่าแต่ละเมนูนี่ทั้งอร่อยและเฮลตี้สุด ๆ รับรองว่าเพื่อน ๆ ได้ทานบ่อย ๆ แบบไม่ซ้ำแน่นอนค่ะ ส่วนใครที่กำลังคิดจะจริงจังจังกับการทานอาหารและต้องการอุปกรณ์ดี ๆ สามารถกดเข้าไปอ่านบทความแนะนำเครื่องครัวสำหรับเชฟมือใหม่หรือเครื่องครัวสำหรับเด็กหอได้เลยค่ะ แล้วการทำอาหารทานเองจะง่ายขึ้นเยอะเลย ก่อนจากไปวันนี้เรามีเทคนิคการจัดจานอาหารสวย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ อีกด้วยนะคะ รีบเลื่อนลงไปอ่านกันเลย
เคล็ดลับการจัดอาหารให้น่ารับประทาน
ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่านอกจากรสชาติแล้ว การที่อาหารเสิร์ฟมาในลักษณะที่สวยงามจะช่วยให้รสชาติของอาหารมื้อนั้นอร่อยขึ้นมาแบบ 300% เพราะเดี๋ยวนี้มีวัฒนธรรมหนึ่งที่เรียกว่า “camera eat first” ซึ่งก็คือการนิยมถ่ายรูปอาหารสวย ๆ แล้วโพสต์บนโซเชียลมีเดียนั่นเองค่ะ เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็นิยมทำแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และการที่ร้านอาหารจัดจานให้สวยงามชวนถ่ายรูปก็ยังช่วยเพิ่มมูลค่าของอาหารจานนั้น ๆ ได้อีกเยอะเลยค่ะ รู้แบบนี้แล้วหลายคนคงอยากลองทำโฮมคาเฟ่ที่บ้านกันแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าอาหารสวย ๆ ที่เราเห็นจะมีวิธีการยังไงบ้าง

- อันดับแรกที่จะทำให้อาหารดูดี ดูสวยก็คือภาชนะชุดจานชามค่ะ เราควรจะเลือกใช้สีของถ้วยหรือจานให้ตัดกับสีของอาหาร ถ้าอาหารสีอ่อนให้ใช้ภาชนะสีเข้ม กลับกันถ้าอาหารสีเข้มก็เปลี่ยนมาใช้ภาชนะสีอ่อนแทน หรือถ้าไม่มีสีจัดกันขนาดนั้นก็เปลี่ยนมาใช้โทนสีที่ใกล้เคียงแบบไล่ระดับความเข้ม – อ่อนก็ดูสวยงามเหมือนกันค่ะ
- ต่อไปก็จะเป็นในเรื่องของลวดลายหรือรูปทรงของภาชนะ ลองเปลี่ยนจากจานกลม ๆ ธรรมดา ๆ มาใช้จานสี่เหลี่ยมหรือจานเปลรูปวงรีดูสิคะ อาหารของคุณจะดูสวยงามและน่าสนใจขึ้นอีกเยอะเลย หรือใครจะลองใช้ภาชนะมากกว่าหนึ่งใบมาซ้อนกันก็น่าสนใจดีนะคะ หรือใครจะลองนำภาชนะมากกว่าหนึ่งใบมาวางซ้อนกันก็จะช่วยเพิ่มมิติให้กับอาหาร ยิ่งเป็นภาชนะแบบไล่ระดับสีหรือใช้สีสลับกันไปมาก็จะทำให้ดูสนุกมากยิ่งยิ่งขึ้น
- ถ้าใครมีภาชนะจำกัดและอาจจะมีรูปทรงให้เลือกไม่เยอะเท่าไหร่นักก็ลองเปลี่ยนมาเน้นการตกแต่งจานดูค่ะ จากที่เคยวางอาหารลงไปตรงกลางเฉย ๆ ก็ลองเปลี่ยนมาวางขอบ ๆ แล้วใช้ซอสวาดตกแต่งลวดลาย หรือจะวางอาหารลงไปแค่ครึ่งหนึ่งของจาน อีกครึ่งหนึ่งปล่อยให้โล่งไว้ก็ได้ค่ะ หรือใครจะเรียงอาหารเป็นรูปทรงแปลก ๆ ก็น่าสนใจดีนะคะ แต่แนะนำให้ใช้เทคนิคนี้กับจานสีพื้นเรียบ ๆ เราจะได้โฟกัสไปที่อาหารอย่างเต็มที่ ไม่มีจุดรบกวนสายตา
- ลองเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เสริมบ้าง เทคนิคนี้ร้านอาหารใช้กันเยอะมาก ๆ เลยค่ะโดยเฉพาะคาเฟ่ขนมหวาน อย่างที่เห็นกันบ่อย ๆ เลยก็คือการวางช้อนส้อมลงบนภาชนะสีเข้มแล้วโรยน้ำตาลไอซิ่งลงไป เมื่อยกช้อนส้อมออกก็จะมีลายช้อนส้อมติดอยู่บนภาชนะ จากนั้นก็วางเบเกอรี่ลงไปสวย ๆ หรือใครอยากจะแหวกแนวไม่ใช้ภาชนะแต่เปลี่ยนมาเสิร์ฟอาหารบนเขียงแทนก็ดูแปลกตาดีค่ะ แต่แนะนำให้เป็นอาหารคาวคือพวกสเต็กจะเหมาะสุด ๆ เพราะจะได้อารมณ์เท่ ๆ ดิบ ๆ ดีค่ะ