เฉาก๊วย 1 ถ้วย เท่ากับกี่แคล นับแคลอรี่ “เฉาก๊วย 1 ถ้วย”
เฉาก๊วย 1 ถ้วย = กี่แคล มีคำตอบ!
เฉาก๊วย 1 ถ้วย ให้แคลอรี่ = 90 กิโลแคลอรี่
ใครที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร โดยตัวอย่างที่เรายกมาในวันนี้คืออาหารยอดนิยมอย่าง “เฉาก๊วย” และเป็นคนที่กำลังนับแคลอรี่ หรือควบคุมน้ำหนัก รักษาหุ่น หรือกำลังเริ่มออกกำลังกาย คงจะอยากรู้กันว่า อาหารอย่างเช่น “เฉาก๊วย” เป็นอาหารที่ให้พลังงานเท่าใหร่ และต้องกินจำนวนกี่ถ้วยจะพอดี หรือกี่ถ้วยจึงจะนับว่ามากเกินไป วันนี้ข้าวตังได้หาข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานของ “เฉาก๊วย 1 ถ้วย” มาให้เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ว่า เมื่อเรากินไป 1 ถ้วย จะได้ปริมาณพลังงานเท่าใหร่ คำตอบคือ “90 กิโลแคลอรี่” หรือ 90 Kcal หากเพื่อนๆยังไม่มั่นใจว่าที่เรากินเข้าไป พลังงานนับเป็นกี่แคลแล้ว ให้ลองดูจากตารางด้านล่างได้เลย
ตารางแสดงจำนวนถ้วยของ เฉาก๊วย ต่อพลังงาน กิโลแคลอรี่
จำนวนถ้วย
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) ที่ได้รับ
½ (ครึ่งถ้วย)
45 กิโลแคลอรี่ (45 Kcal)
1 ถ้วย
90 กิโลแคลอรี่ (90 Kcal)
2 ถ้วย
180 กิโลแคลอรี่ (180 Kcal)
3 ถ้วย
270 กิโลแคลอรี่ (270 Kcal)
4 ถ้วย
360 กิโลแคลอรี่ (360 Kcal)
5 ถ้วย
450 กิโลแคลอรี่ (450 Kcal)
6 ถ้วย
540 กิโลแคลอรี่ (540 Kcal)
7 ถ้วย
630 กิโลแคลอรี่ (630 Kcal)
8 ถ้วย
720 กิโลแคลอรี่ (720 Kcal)
9 ถ้วย
810 กิโลแคลอรี่ (810 Kcal)
10 ถ้วย
900 กิโลแคลอรี่ (900 Kcal)
ควรรับประทานเฉาก๊วยเท่าใหร่ ใน 1 วัน
ผู้ชาย
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “เฉาก๊วย” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 22 ถ้วย โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,980 กิโลแคลอรี่ (1,980 Kcal)
ผู้หญิง
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,500 – 1,800 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “เฉาก๊วย” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 20 ถ้วย โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,800 กิโลแคลอรี่ (1,800 Kcal)
กินเฉาก๊วย 1 ถ้วย ต้องออกกำลังกายเท่าใหร่
กิจกรรม 1 ชั่วโมง ระยะเวลา เผาผลาญ (กิโลแคลอรี่) / 1 ชั่วโมง กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 17.6กม./ชม. 6 นาที 970 กิโลแคลอรี่ กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 5.6กม./ชม. 8 นาที 660 กิโลแคลอรี่ กระโดดเชือก 7 นาที 780 กิโลแคลอรี่ กวาดพื้น 24 นาที 225 กิโลแคลอรี่ การเต้น Zumba 11 นาที 500 กิโลแคลอรี่ ขี่จักรยาน 22 นาที 250-600 กิโลแคลอรี่ ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 14.4กม./ชม. 13 นาที 415 กิโลแคลอรี่ ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 20.0กม./ชม. 8 นาที 660 กิโลแคลอรี่ ซักผ้าด้วยมือ 23 นาที 240 กิโลแคลอรี่ ตัดหญ้า 22 นาที 250-300 กิโลแคลอรี่ ตีกอล์ฟ ลากถุงกอล์ฟ 18 นาที 300 กิโลแคลอรี่ ตีกอล์ฟ แบกถุงกอล์ฟเอง 15 นาที 360 กิโลแคลอรี่ ตีกอล์ฟ, นั่งรถ 23 นาที 240 กิโลแคลอรี่ ทำงานบ้าน 36 นาที 150-250 กิโลแคลอรี่ ทำสวน 18 นาที 300-450 กิโลแคลอรี่ นอนหลับ 1 ชั่วโมง 12 นาที 75 กิโลแคลอรี่ นั่งดูทีวี 54 นาที 100 กิโลแคลอรี่ นั่งทำงานใช้สมอง 49 นาที 110 กิโลแคลอรี่ บาสเก็ตบอล 15 นาที 360-660 กิโลแคลอรี่ ปูที่นอน 40 นาที 135 กิโลแคลอรี่ มวยไทย 7 นาที 800 กิโลแคลอรี่ ยืน 39 นาที 140 กิโลแคลอรี่ รีดผ้า 36 นาที 150 กิโลแคลอรี่ ลงนอน (ไม่หลับ) 1 ชั่วโมง 4 นาที 85 กิโลแคลอรี่ วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 12.8กม./ชม. 7 นาที 825 กิโลแคลอรี่ วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 18.2กม./ชม. 4 นาที 1,390 กิโลแคลอรี่ วิ่งเร็ว 6 นาที 900-1,200 กิโลแคลอรี่ วิ่งเหยาะๆ 9 นาที 600-750 กิโลแคลอรี่ ว่ายน้ำ 21 นาที 260-750 กิโลแคลอรี่ ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 2.56กม./ชม. 8 นาที 700 กิโลแคลอรี่ ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 3.00กม./ชม. 6 นาที 850 กิโลแคลอรี่ เดินขึ้นบันได 9 นาที 600-1080 กิโลแคลอรี่ เดินขึ้นเนิน 11 นาที 480-900 กิโลแคลอรี่ เดินช้า 36 นาที 150 กิโลแคลอรี่ เดินธรรมดา 18 นาที 300 กิโลแคลอรี่ เดินลงบันได 13 นาที 425 กิโลแคลอรี่ เดินลงเนิน 23 นาที 240 กิโลแคลอรี่ เดินเร็ว 13 นาที 420-480 กิโลแคลอรี่ เดินเล่น 26 นาที 210 กิโลแคลอรี่ เต้นรำ 15 นาที 350 กิโลแคลอรี่ เย็บผ้า 47 นาที 115 กิโลแคลอรี่ เลื่อยไม้ 10 นาที 515 กิโลแคลอรี่ เล่นวอลเล่ย์บอล 18 นาที 300 กิโลแคลอรี่ เล่นสเก็ตปกติ 13 นาที 420 กิโลแคลอรี่ เล่นสเก็ตแข่งความเร็ว 8 นาที 700 กิโลแคลอรี่ เล่นฮูล่าฮูป 13 นาที 430 กิโลแคลอรี่ เล่นเทนนิสคู่ 15 นาที 360 กิโลแคลอรี่ เล่นเทนนิสเดี่ยว 11 นาที 480 กิโลแคลอรี่ เล่นแบดมินตัน 15 นาที 350 กิโลแคลอรี่ เล่นโบว์ลิ่ง 14 นาที 400 กิโลแคลอรี่ แอโรบิค 9 นาที 600 กิโลแคลอรี่ เดินขึ้นเขาหรือปีนเขา 11 นาที 500-800 กิโลแคลอรี่ ออกกำลังกายแบบ HIT 8 นาที 700-800 กิโลแคลอรี่
บทสรุป
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการสมมติ และจำลองตัวเลขว่า หากคนเรารับประทาน “เฉาก๊วย” อย่างเดียวใน 1 วัน จะต้องทานเท่าไรจึงจะได้รับพลังงานเพียงพอใน 1 วัน โดยสรุปคือ ผู้ชายต้องทาน “เฉาก๊วย 22 ถ้วย” ส่วนผู้หญิงต้องทาน “เฉาก๊วย 20 ถ้วย”
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
คลายข้อสงสัยให้กับทุกคน แคลอรี่มาจากไหน ทำไมคนอยากลดน้ำหนักต้องนับแคล
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่าการรับแคลคืออะไร ทำไมคนที่คุมน้ำหนักถึงต้องมีการควบคุมแคลอรี่ หรือการที่จะเลือกกินอาหารสามารถเลือกตามแคลน้อย ๆ ได้ยังไง วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ทุกคนอยากรู้กันค่ะ เริ่มจากมาทำความรู้จักแคลอรี่กันก่อนเลย แคลอรี่ (calorie) ก็คือหน่วยวัดพลังงานที่ใช้นับพลังงานจากสารอาหารต่างๆ ที่เราได้บริโภคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มก็มีพลังงานอยู่ด้วย ดังนั้นเราสามารถนำมาคิดคำนวณพลังงานให้ออกมาเป็นแคลอรี่ได้ทั้งนั้น ซึ่งในอาหารแต่ละอย่างก็จะมีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปตามสารอาหารและปริมาณ โดยปกติแล้วจะมีการนำมาคำนวนพลังงานต่อวันที่ควรจะได้รับตามสารอาหารแต่ละประเภท โดยสารอาหารที่ให้พลังงานจะเป็นอาหารจำพวกโปรตีน ที่จะเน้นเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะให้พลังงานอยู่ที่ 4 แคลอรี่ต่อกรัม, อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอย่างข้าวและแป้งต่างๆ จะให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัมเช่นเดียวกับโปรตีนและอาหารประเภทสุดท้ายคือไขมันจะให้พลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ต่อกรัม ซึ่งจะให้พลังมากกว่าอาการ 2 ประเภทแรกถึง 2 เท่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะกินอาหารได้แบบตามใจปาก เพราะในแต่ละวันร่างกายจะต้องการสารอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้นการคำนวนปริมาณแคลอรี่ของสารอาหารต่างๆจึงจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบที่ไม่อดอาหารและยังได้สารอาหารครบถ้วนนั่นเอง
ปริมาณแคลอรี่ต่อวันคำนวณยังไง มาดูวิธีง่ายๆในการนับแคลอรี่กัน
ตามหลักการปกติง่ายๆที่เราสามารถคิดตามได้ จะเริ่มจากการดูพลังงานในแต่ละวันที่ควรได้รับ โดยที่ผู้ชายควรได้รับพลังงานจากการบริโภคอาหารรวมถึงเครื่องดื่มอยู่ที่ 2500 กิโลแคลอรี่ ผู้หญิงควรได้รับพลังงานในแต่ละวันอยู่ที่ 2000 กิโลแคลอรี่ แต่ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมในแต่ละวัน อายุ น้ำหนักและระบบการเผาผลาญต่างๆในร่างกายที่จะมีผลต่อการคิดคำนวนปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว เด็กที่มีกิจกรรมต่างๆจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะมีพลังงานที่ควรได้รับมากกว่าผู้สูงอายุ ตามหลักการแล้วการที่จะได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่จะต้องมีสารอาหารต่างๆในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือ โปรตีน 50 กรัม (200แคลอรี่), คาร์โบไฮเดรต 260 กรัม (1040แคลอรี่), ไขมันทั้งหมด 90 กรัม(810แคลอรี่) ซึ่งควรจะเป็นไขมันดี 20กรัม(180แคลอรี่) ที่เหลืออีก 70กรัม(630แคลอรี่) เป็นไขมันอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเช่นน้ำตาลและเกลือรวมอยู่ด้วย
กินเยอะกินน้อยจะมีผลต่อการลดน้ำหนักจริงหรอ คำถามสุดฮิตของคนอยากผอม
การใช้วิธีการลดนับหนักแบบนับแคลเป็นหนึ่งในวิธีที่มักจะทำไปควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าหากออกกำลังกายแต่กินไม่ถูกวิธีก็จะทำให้การลดน้ำหนักนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าจะกินยังไงให้น้ำหนักของเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะทำการย่อยแล้วเปลี่ยนสารอาหารต่างให้อยู่ในรูปของพลังงาน ซึ่งร่างกายจะมีการนำพลังงานนั้นออกมาใช้โดยจะเรียกการนำพลังงานมาใช้ว่าการเผาผลาญพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นอน ทุกๆอิริยาบถของเราล้วนใช้พลังงานในเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากเราได้รับพลังงานในปริมาณที่มากกว่าการใช้พลังงานก็จะทำให้เกิดพลังงานสะสมนั่นหมายถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักโดยการนับแคลอรี่ จะต้องเริ่มจากการรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรี่ที่พอเหมาะกับร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวัน ไม่ควรบริโภคอาหารมากจนเกินไป ซึ่งถ้าหากอยากลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายมากถึง 7700 กิโลแคลอรี่ นั่นหมายถึงการบริโภคอาหารน้อยลง แต่จำเป็นต้องมีสาอาหารอย่างครบถ้วน ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง