หลักธรรมค้ำจุนโลก

หลักธรรม หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 2552 กว่าปีแล้ว แต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องดำเนินชีวิตและแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่ สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า สัจธรรม ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะนำหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด สำหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมสำหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย ซึ่งได้นำเสนอไว้บ้าง เรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้

พรหมวิหาร ** 4**

เป็นหลักธรรมของผู้ใหญ่(ผู้บังคับบัญชา) ที่ควรถือปฏิบัติเป็นนิตย์ มี 4 ประการ คือ

1. เมตตา ความรักใคร่ ปราถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุข

2. กรุณา ความสงสาร คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์

3. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข

4. อุเบกขา วางตนเป็นกลาง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เมื่อผู้อื่นถึงวิบัติ มีทุกข์

อคติ** 4**

อคติ หมายความว่า การกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรม มี 4 ประการ

1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักใคร่

2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ

3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา

4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว

อคติ 4 นี้ ผู้บริหาร/ผู้ใหญ่ ไม่ควรประพฤติเพราะเป็นทางแห่งความเสื่อม

สังคหวัตถุ** 4 **

เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเอง และหมู่คณะก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

1.ทาน ให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้

2.ปิยวาจา เจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน

3.อัตถจริยา ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์

4.สมานนัตตตา วางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน

อิทธิบาท** 4**

เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ

1.ฉันทะ ความพึงพอใจในงาน

2.วิริยะ ความขยันมั่นเพียร

3.จิตตะ ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน

4.วิมังสา ไตร่ตรองหาเหตุผล

ทศพิธราชธรรม ** 10 ประการ**

เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหาร เช่น

สรรพสามิตจังหวัด สรรพสามิตอำเภอ ก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้

หลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ มีอยู่ดังนี้

1. ทาน คือ การให้ปัน ซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์

** **** 2. ศีล** ได้แก่การสำรวม กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม

** 3. บริจาค** ได้แก่ การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่นหรือเป็นการเสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข

** 4. อาชวะ** ได้แก่ ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม

** 5. มัทวะ** ได้แก่ ความมีอัธยาศัยดีงาม ละมุนละไม อ่อนโยน สุภาพ

** 6. ตบะ** ได้แก่ การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ

** 7. อโกรธะ** ได้แก่ ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ

** 8. อวิหิงสา** ได้แก่ การไม่เบียดเบียนคนอื่น

** 9. ขันติ ** ได้แก่ ความอดกลั้นไม่ปล่อยกาย วาจา ใจ ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น

** 10. อวิโรธนะ** ได้แก่ การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม

บารมี 6

เป็นหลักธรรมอันสำคัญที่จะนิยมมาซึ่งความรักใคร่นับถือ นับว่าเป็นหลักธรรมที่เหมาะมาก

สำหรับนักบริหารจะพึงยึดถือปฎิบัติ มีอยู่ 6 ประการคือทาน

1. ทาน การให้เป็นสิ่งที่ควรให้

2. ศีล การประพฤติในทางที่ชอบ

3. ขันติ ความอดทนอดกลั้น

4. วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร

5. ฌาน การเพ่งพิจารณาให้เห็นของจริง

6. ปรัชญา ความมีปัญญารอบรู้

ขันติโสรัจจะ

เป็นหลักธรรมอันทำให้บุคคลเป็นผู้งาม (ธรรมทำให้งาม)

1. ขันติ คือ ความอดทน มีลักษณะ 3 ประการ

1.1 อดใจทนได้ต่อกำลังแห่งความโกรธแค้นไม่แสดงอาการ กาย วาจา ที่ไม่น่ารักออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่ผู้อื่น

1.2 อดใจทนได้ต่อความลำบากตรากตรำหรือความเหน็ดเหนื่อย

2. ** โสรัจจะ ** ความสงบเสงี่ยม ทำจิตใจให้แช่มชื่นไม่ขุนหมอง

ธรรมโลกบาล

เป็นหลักธรรมที่ช่วยคุ้มครองโลก หรือมวลมนุษย์ให้อยู่ความร่มเย็นเป็นสุข มี 2 ประการคือ

1. หิริ ความละอายในตนเอง

2. โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อทุกข์ และความเสื่อมแล้วไม่กระทำความชั่

อธิฐานธรรม ** 4**

เป็นหลักธรรมที่ควรตั้งไว้ในจิตใจเป็นนิตย์ เพื่อเป็นเครื่องนิยมนำจิตใจให้เกิดความรอบรู้ความจริงรู้จักเสียสละ และบังเกิดความสงบ มี 4 ประการ

1. ปัญญา ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ รู้ในวิชา

2. สัจจะ ความจริง คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริงไม่ทำอะไรจับจด

3. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแห่งความจริงใจ คือ สละความเกียจคร้าน หรือความหวาดกลัวต่อความยุ่งยาก ลำบาก

4. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ คือ ยับยั้งใจมิให้ปั่นป่วนต่อความพอใจรักใคร่ และความขัดเคืองเป็นต้น

คหบดีธรรม** 4**

เป็นหลักธรรมของผู้ครองเรือนพึงยึดถือปฏิบัติ มี 4 ประการ คือ

1. ความหมั่น

2. ความโอบอ้อมอารี

3. ความไม่ตื่นเต้นมัวเมาในสมบัติ

4. ความไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อเกิดภัยวิบัติ

ราชสังคหวัตถุ** 4**

เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องช่วยในการวางนโยบายบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดีมี 4 ประการ คือ

1. ลัสเมธัง ความเป็นผู้ฉลาดปรีชาในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดขึ้นในแผ่นดิน แล้วพิจารณาผ่อนผันจัดเก็บเอาแต่บางส่วนแห่งสิ่งนั้น

2. ปุริสเมธัง ความเป็นผู้ฉลาดในการดูคนสามารถเลือกแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในความถูกต้องและเหมาะสม

3. สัมมาปาลัง การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน

4. วาจาเปยยัง ความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเหตุการณ์ ตามฐานะและตามความเป็นธรรม

สติสัมปชัญญะ

เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์แก่ผู้ประพฤติเป็นอันมาก

1.สติ คือ ความระลึกได้ก่อนทำ ก่อนบูชา ก่อนคัด คนมีสติจะไม่เลินเล่อ เผลอตน

2.สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวในเวลากำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด

อกุศลมูล** 3**

อกุศลมูล คือ รากเหง้าของความชั่ว มี 3 ประการคือ

1. โลภะ ความอยากได้

2. โทสะ ความคิดประทุษร้ายเขา

3. โมหะ ความหลงไม่รู้จริง

นิวรณ์** 5**

นิวรณ์ แปลว่า ธรรมอันกลั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี มี 5 ประการ

1. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ มีพอใจในรูป เป็นต้น

2. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น

3. ถีนมิทธะ ความที่จิตใจหดหู่และเคลิบเคลิ้ม

4. อุธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ

5. วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงใจได้

ผู้กำจัดหรือบรรเทานิวรณ์ได้ ย่อมได้นิสงส์ ** 5 ประการคือ**

1. ไม่ข้องติดอยู่ในกายตนหรือผู้อื่นจนเกินไป

2. มีจิตประกอบด้วยเมตตา

3. มีจิตอาจหาญในการประพฤติความดี

4. มีความพินิจและความอดทน

5. ตัดสินใจในทางดีได้แน่นอนและถูกต้อง

เวสารัชชกรณะ** 5**

เวสารัชชกรณะ แปลว่า ธรรมที่ยังความกล้าหาญให้เกิดขึ้นมี 5 ประการ คือ

1. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ

2. ศีล ประพฤติการวาจาเรียบร้อย

3. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ศึกษามาก

4. วิริยารัมภะ ตั้งใจทำความพากเพียร

5. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้

อริยทรัพย์** 7**

1. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ

2. ศีล ประพฤติการวาจาเรียบร้อย

3. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต

4. โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต

5. พาหุสัจจะ ความเป็นคนได้ยินได้ฟังมามาก

6. จาคะ การให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้

7.ปัญญา ความรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นไป

สัปปุริสธรรม** 7**

เป็นหลักธรรมอันเป็นของคนดี (ผู้ประพฤติชอบ) มี 7 ประการ

1. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้ว่าเป็นเหตุ

2. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล

3. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน

4. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ

5. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม

6. ปุริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักสังคม

7. บุคคลโรปรัชญญุตา ความเป็นผู้รู้จักคบคน

คุณธรรมของผู้บริหาร** 6**

ผู้บริหาร นอกจากจะมีคุณวุฒิในทางวิชาการต่าง ๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีคุณธรรมอีก 6 ประการ

1. ขมา มีความอดทนเก่ง

2. ชาตริยะ ระวังระไว

3. อุฎฐานะ หมั่นขยัน

4. สังวิภาคะ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

5. ทยา เอ็นดู กรุณา

6. อิกขนา หมั่นเอาใจใส่ตรวจตราหรือติดตา

ยุติธรรม** 5**

นักบริหารหรือผู้นำมักจะประสบปัญหาหรือร้องเรียนขอความเป็นธรรมอยู่เป็นประจำ

หลักตัดสินความเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรม มี 5 ประการ คือ

1. สัจจวา แนะนำด้วยความจริงใจ

2. บัณฑิตะ ฉลาดและแนะนำความจริงและความเสื่อม

3. อสาหะเสนะ ตัดสินด้วยปัญญาไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ผลุนผลัน

4. เมธาวี นึกถึงธรรม (ยุติธรรม) เป็นใหญ่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง

5. ธัมมัฎฐะ ไม่ริษยาอาฆาต ไม่ต่อเวร

ธรรมเครื่องให้ก้าวหน้า** 7**

นักบริหารในตำแหน่งต่าง ๆ ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมเครื่องเจริญยศ (ความก้าวหน้า) ไว้ 7 ประการ คือ

1. อุฎฐานะ หมั่นขยัน

2. สติ มีความเฉลียว

3. สุจิกัมมะ การงานสะอาด

4. สัญญตะ ระวังดี

5. นิสัมมการี ใคร่ครวญพิจารณาแล้วจึงธรรม

6. ธัมมชีวี เลี้ยงชีพโดยธรรม

7. อัปปมัตตะ ไม่ประมาท

ไตรสิกขา

เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความตั้งใจดีและมีมือสะอาด นักบริหารต้องประกอบตนไว้ในไตรสิกขาข้อที่ต้องสำเหนียก 3 ประการ คือ

1. ศีล

2. สมาธิ

3. ปัญญา

ทั้งนี้เพราะ ศีล เป็นเครื่องสนับสนุนให้กาย (มือ) สะอาด

สมาธิ เป็นเครื่องสนับสนุนให้ใจสงบ

ปัญญา เป็นเครื่องทำให้ใจสว่าง รู้ถูก รู้ผิด

พระพุทธโอวาท** 3**

นักบริหารที่ทำงานได้ผลดี เนื่องจากได้ ตั้งใจดี และ “มือสะอาด” พระพุทธองค์ได้วางแนวไว้ 3 ประการ ดังนี้

1. เว้นจากทุจริต การประพฤติชั่ว ทางกาย วาจา ใจ

2. ประกอบสุจริต ประพฤติชอบ ทางกาย วาจา ใจ

3. ทำใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง

การนำหลักธรรมที่ประเสริฐมาปฎิบัติ ย่อมจักนำความเจริญ ตลอดจนความสุขกายสบายใจ ให้บังเกิดแก่ผู้ประพฤติทั้งสิ้น สมดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “ ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง” ธรรมะย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติ

Bình luận đã bị đóng.